กิจกรรมระหว่างการพักฟื้นหลังการเสริมหน้าอก (การผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยเต้านม เทียม)
ควรเดินไปรอบ ๆ ทันทีที่สามารถทำได้ ในขณะที่พักฟื้นหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือด อุดตันและยังช่วยบรรเทาอาการบวมได้อีกด้วย อย่าทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมาก หรือออกกำลังกายเป็นเวลาอย่าง น้อย 3-4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องยกแขนเหนือศีรษะเป็นเวลา 10 วันหลังการผ่าตัด และประมาณ 7 วันหลังการผ่าตัด จึงจะสามารถขับรถได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 2-3 วัน เว้นแต่จะประกอบอาชีพที่ต้องมีการเคลื่อนไหวมากหรือต้องยกของ และในบางกรณี ควรงดเว้นการทำกิจกรรมเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
- สามารถเริ่มเดินภายในไม่กี่วัน
- สามารถวิ่งจ็อกกิ้งเบา ๆ ได้ภายใน 2 สัปดาห์
- สามารถเข้ายิม และเล่นพิลาทิสได้หลังผ่านไป 4 สัปดาห์
- สามารถออกกำลังแบบเน้นร่างกายส่วนบนหลังผ่านไป 6 สัปดาห์
ช่วงแรกหลังการผ่าตัด
การมีเลือดออกเป็นเรื่องปกติในทุกหัตถการ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเลือดออกน้อยมาก อย่างไรก็ตาม หากมีเลือดออก มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญได้ หากเกิดภาวะนี้ระหว่างการผ่าตัดศัลยแพทย์ตกแต่งและ วิสัญญีแพทย์จะทราบโดยได้จากปริมาณเลือด และการลดลงของความดันโลหิต หากมีเลือดออกหลังการผ่าตัด เลือดจะสะสมใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยช้ำและอาจต้องผ่าตัดเพิ่มเติม ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ หลังการผ่าตัด เพื่อลดความเป็นไปได้ของการมีเลือดออกหลังการผ่าตัด
- พักผ่อน แต่ไม่ใช่นอนติดเตียง: แม้ว่าการพักผ่อนจะมีความสำคัญในช่วงแรกของกระบวนการหายของแผล แต่ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ คุณเป็นผู้ป่วยนอก ซึ่งหมายความว่าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นควรเดินเบา ๆ เป็นเวลา 10 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ภายในบ้านในขณะที่พักฟื้น
- เอนตัวไปข้างหลังโดยให้ศีรษะและหน้าอกอยู่เหนือลำตัวส่วนล่างเล็กน้อย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ของเหลวเป็นสิ่งสำคัญหลังการผ่าตัด หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน และเครื่องดื่มที่ไม่มีชาเขียวเป็นส่วนประกอบ รวมถึงน้ำผลไม้และน้ำ นมและเครื่องดื่ม โยเกิร์ต อาจจะต้องดื่มของเหลวอย่างน้อย 1 แก้ว ทุก ๆ 2 ชั่วโมง และรับประทานอาหารอ่อน ที่มีรสจืด และมีคุณค่าทางโภชนาการใน 24 ชั่วโมงแรก
- รับประทานยาให้ครบตามที่กำหนด: รับประทานยาแก้ปวดชนิดรับประทานและยาคลายกล้ามเนื้อตามความจำเป็น และรับประทานยาปฏิชีวนะให้หมด
- เปลี่ยนวัสดุทำแผล: แผลผ่าตัดจะมีของไหลว และเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเป็นระยะสั้น ๆ หลังการผ่าตัดโปรด รักษาวัสดุทำแผลให้สะอาด และแห้งอยู่เสมอ
- สวมผ้ารัดกล้ามเนื้อหลังการผ่าตัดตลอดเวลา และตรวจสอบให้แน่ใจว่า ได้สวมใส่ผ้านี้ไว้ตลอดเวลา
- ห้ามสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่อาจทำให้ความปลอดภัยลดลงอย่างมากก่อนการผ่าตัด และความสามารถในการหาย ของแผลหลังการผ่าตัด แม้ว่าแผลผ่าตัดอาจปิดสนิทแล้ว แต่การสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนที่จำเป็น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นที่กว้างและนูน
- ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่รับประทานยาปฏิชีวนะ อาจลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ
- ผ่อนคลาย อย่าทำกิจกรรมที่ทำให้เครียด อย่ายกของที่มีน้ำหนักเกิน 5 กิโลกรัม ในช่วงเวลานี้อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ทั้งนี้ควรทำกิจกรรมประจำวันแบบเบา ๆ และสวมบราพยุงอย่างถูกต้องต่อไป สามารถนอนราบได้แต่อย่า นอนคว่ำ หากชอบนอนตะแคง อาจใช้หมอนนุ่ม ๆ รองที่กลางหลังและไหล่ ซึ่งจะทำให้รู้สึกสบายมากกว่าการใช้ หมอนใบเดียวหนุนศีรษะ
- ปกป้องผิวหนังจากแสดงแดด อย่าให้หน้าอกโดนแสงแดดโดยตรง หากอยู่กลางแจ้งให้ทาครีมกันแดดที่มี ค่า SPF 30 ที่บริเวณหน้าอก อย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด เนื่องจากผิวหนังบริเวณหน้าอกและเต้านมมี ความเสี่ยงสูงต่อการถูกแดดเผา หรือการสร้างเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอและคล้ำ และสามารถใช้ครีมรักษาแผลเป็นหลัง จากตัดไหมแล้ว
- อย่าทำกิจกรรมที่ทำให้หน้าอกเคลื่อนที่ขึ้นลง ได้แก่ การนั่งเรือเร็ว การขี่ช้าง การเล่นพาราเซลลิ่ง และกิจกรรม อื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังยืดออกมากเกินไป
การนวดหน้าอก
ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ในการนวดเต้านมเทียม ในบางกรณี ศัลยแพทย์อาจแนะนำให้นวด เบา ๆ หรือไม่ต้องนวดเลย โดยในระหว่างการนวดอย่าลืมขยับเต้านมเทียมไปทั้ง 4 ทิศทาง โดยการขยับช้า ๆ อย่าง คงที่
- วางฝ่ามือไว้ที่ด้านนอกของเต้านมแล้วดันเข้าด้านในช้า ๆ อาจรู้สึก และมองเห็นเต้านมเทียมนูนเข้าด้านในของ เต้านม กดค้างไว้ 20 – 30 วินาที และทำซ้ำตามคำแนะนำจากศัลยแพทย์
- ดันเต้านมออกอย่างช้า ๆ จนสังเกตเห็นว่าเต้านมเทียมนูนออกด้านนอกของเต้านม กดค้างไว้ 20 – 30 นาที และทำซ้ำ
- วางมือไว้ที่ด้านล่างของเต้านม แล้วดันเต้านมขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเต้านมเทียมนูนขึ้นที่ด้านบนของ เต้านม กดค้างไว้ 20 – 30 นาที และทำซ้ำ ทำเช่นเดียวกันนี้ในทิศทางลงด้านล่าง
ความเสี่ยง
หัตถการผ่าตัดทุกประเภทต่างก็มีความเสี่ยง รวมถึงการผ่าตัดเสริมเต้านมหรือการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม การเข้ารับ หัตถการในโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจะช่วยลดความเสี่ยงในระหว่างทำหัตถการ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการจัดประเภท ความเสี่ยงก็คือ การแบ่งความเสี่ยงออกเป็นความเสี่ยงจากการใช้การระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย สิ่งที่อาจผิดพลาด ในระหว่างการทำหัตถการ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วนจะมีความเสี่ยงน้อยมากหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และเอาใจใส่โดยทีม ดูแลผู้ป่วยและตัวคุณเองในฐานะผู้ป่วย เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะได้รับแบบฟอร์มหนังสือให้ความยินยอม ซึ่งระบุรายละเอียดของความเสี่ยงต่าง ๆ โดยสังเขปรายละเอียดด้านล่างนี้มิได้มีไว้เพื่อทำให้ตกใจ แต่เพื่อให้ตระหนัก ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
เนื่องจากการเพิ่มขนาดหน้าอกเป็นการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน จึงต้องมีสุขภาพที่ดีก่อนที่จะทำหัตถการ ดังนั้นควร รับประทานผักและผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพให้พอดี และพักผ่อนอย่างเพียงพอ และหากมีอาการเจ็บป่วย (เช่น ไข้หวัด) ก่อนวันผ่าตัด ศัลยแพทย์อาจเลื่อนการทำหัตถการออกไป จนกว่าจะหายดี
ความเสี่ยงทั่วไป
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อที่หน้าอกและ แผลหายช้า ดังนั้นควรหยุดสูบบุหรี่ 4 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด และ 4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
ความเสี่ยงของการใช้ยาชาทั่วไป
- บริเวณที่ปอดแฟบและปอดบวม
- ลิ่มเลือดอุดตันที่ขา (DVT) ซึ่งสามารถเคลื่อนไปที่ปอดได้ (โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด)
- โรคภูมิแพ้
- ความตระหนัก
- เสียชีวิต (มีความเสี่ยงประมาณหนึ่งในล้าน ซึ่งน้อยกว่าความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตขณะที่คุณขับรถไปและกลับจาก โรงพยาบาล)
สิ่งที่อาจผิดพลาดในระหว่างการทำหัตถการ
- การมีเลือดออก
- เสียหายของโครงสร้างโดยรอบ
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก
- เกิดการสะสมของเหลวหรือเลือดภายในช่องท้อง
- การรับความรู้สึกที่เต้านมหรือหัวนมเปลี่ยนไป
- การตึงตัว
- แผลหายช้า
- รอยฟกช้ำและอาการบวม
- การระคายเคืองจากวัสดุทำแผล
- การรับความรู้สึกที่หัวนม
- การบาดเจ็บของเส้นประสาท
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
- แผลเป็นมีลักษณะที่ไม่ดี
- ความไม่สมมาตร
- ความผิดปกติของผิวหนัง (รอยแตกลาย ผิวเป็นริ้ว และริ้วรอย)
- การเปลี่ยนแปลงของขนาดและรูปร่างตามอายุและความผันผวนของน้ำหนัก
- การเกิดพังผืดหดรัดแคปซูลเต้านมเทียม
ในระหว่างการปรึกษาแพทย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง จะอธิบายถึงความเสี่ยงเหล่านี้ สิ่งที่ศัลยแพทย์ทำเพื่อหลีกเลี่ยง ความเสี่ยงและการรักษา และอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน
Capsular Contracture
หัตถการผ่าตัดทุกประเภทต่างก็มีความเสี่ยง รวมถึงการเสริมหน้าอก การเกิดพังผืดหดรัดแคปซูลเต้านมเทียมเกิด ขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อแผลเป็นก่อตัวขึ้นรอบ ๆ เต้านมเทียม ส่งผลให้เต้านมตึง ปวด และอาจมีการรั่วซึมของของเหลว ภายในเต้านมเทียม ผู้หญิงหลายคนมักกลัวภาวะแทรกซ้อนนี้ เนื่องจากยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจะ เกิดขึ้นกับใคร โดยผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการนี้ประมาณ 3 เดือนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก แต่ผู้ป่วยอาจ เกิดพังผืดหดรัดแคปซูลเต้านมเทียมได้ตลอดเวลา และอาจเกิดขึ้นอีกหลังจากได้รับการรักษาแล้ว ภาวะแทรกซ้อน นี้เกิดขึ้นน้อยกว่า 5% และไม่มีทางที่จะบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นกับใครและมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจทำให้ความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ซึ่งได้แก่
- โรคภูมิต้านเนื้อเยื่อของตนเอง
- การสูบบุหรี่
- รังสีรักษา
- การบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่เต้านม
- ภาวะเลือดคั่ง (การแตกของเส้นเลือดซึ่งทำให้เกิดรอยช้ำหรือลิ่มเลือด)
- การมีเลือดหรือน้ำเหลืองคั่งใต้แผล (การสะสมของของเหลวใต้ผิวหนัง)
- การติดเชื้อแบคทีเรีย
- โมเลกุลซิลิโคนหลุดรอดเข้าไปในช่องรอบ ๆ เต้านมเทียม
การตรวจหาการเกิดพังผืดหดรัดแคปซูลเต้านมเทียม
สัญญาณเตือนของการเกิดพังผืดหดรัดแคปซูลเต้านมเทียม ได้แก่ หน้าอกเบี้ยว ผิดรูป อาการปวด หรือหน้าอกตึง มากขึ้น ในช่วงแรกหลังการเสริมหน้าอก การเกิดพังผืดหดรัดแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่:
- ระดับ 1: เต้านมนิ่ม และดูเป็นธรรมชาติ
- ระดับ 2: เต้านมตึงเล็กน้อย แต่ดูเป็นธรรมชาติ
- ระดับ 3: เต้านมตึง และดูไม่เป็นธรรมชาติ
- ระดับ 4: เต้านมแข็ง และดูไม่เป็นธรรมชาติ
การตรวจแมมโมแกรมและเต้านมเทียม
เป็นการตรวจคัดกรองที่แนะนำสำหรับผู้หญิงที่ผ่านการผ่าตัดเสริมหน้าอก เพื่อเหตุผลด้านความงามนั้นมีแนวทาง ที่เหมือนกับผู้หญิงที่ไม่ได้เสริมหน้าอก การเสริมหน้าอกเพื่อความงาม อาจทำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้ยากขึ้น เล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำ เนื่องจากการตรวจแมมโมแกรม (การเอ็กซเรย์เต้านม) หรือการถ่ายภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สามารถช่วยชีวิตคุณได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตาม คำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการตรวจหามะเร็งเต้านม
การให้นมบุตร
เต้านมเทียมจะไม่รบกวนการให้นมบุตร แต่ผู้หญิงจำนวนมากมีความกังวลว่าเจลซิลิโคนจะปะปนไปกับน้ำนมหาก เต้านมเทียมแตก แต่ความกลัวเหล่านี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน โดยในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีรายงาน เกี่ยวกับการรั่วไหลของเจลซิลิโคนจากเต้านมเทียมเข้าไปในร่างกาย และผู้หญิงบางคนอ้างว่ามีอาการแพ้และเกิดความ ผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอันเป็นผลมาจากเต้านมเทียม ด้วยเหตุนี้ เต้านมเทียมชนิดซิลิโคนจึงถูกนำออกจากตลาด ในปี ค.ศ. 1992 ในขณะเดียวกันก็มีความกลัวว่าการให้นมบุตรในหญิงที่ใส่เต้านมเทียมอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ จากการศึกษาพบว่าโมเลกุลของซิลิโคนนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะผ่านเข้าไปในท่อน้ำนมและเนื้อเยื่อต่อมเต้านม นอกจากนี้ องค์การอาหารและยา ได้ทำการศึกษาจำนวนมากซึ่งทำให้เต้านมเทียมซิลิโคนเจล พ้นจากข้อกล่าวหาว่า เป็นสาเหตุของโรค เป็นผลให้ถูกนำกลับสู่ตลาด อีกครั้งในปี ค.ศ. 2006 แต่ไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถให้นมบุตร ได้ ไม่ว่าจะได้รับการเสริมหน้าอกหรือไม่ก็ตาม
การใส่เต้านมเทียมอาจทำให้เกิดความแตกต่างในแง่ของความสามารถในการให้นมบุตร ตัวอย่างเช่น ในบางกรณี แผลที่รอบวงปานนม (รอบขอบหัวนม) อาจขัดขวางหรือรบกวนท่อน้ำนม ซึ่งเกิดได้ยากและการใส่เต้านมเทียมไว้ใต้ กล้ามเนื้อหน้าอก (หน้าอก) มีโอกาสที่จะรบกวนท่อน้ำนมน้อยกว่า
ดังนั้น โปรดปรึกษาเกี่ยวกับแผนการให้นมบุตรกับศัลยแพทย์ เพื่อให้ศัลยแพทย์สามารถตัดสินใจร่วมกับคุณเพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ด้านความงามที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ส่งผลต่อการให้นมบุตร
คำแนะนำเหล่านี้ไม่ได้ครอบคลุมหรือรวมความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้ทั้งหมดโดยศัลยแพทย์จะให้คำแนะ
นำเพิ่มเติมแก่คุณ ตามความจำเป็น