ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ต้องผ่านการประเมินตามข้อกำหนดของ The World Professional Association for Transgender Health (WPATH) recommendations) ก่อนเท่านั้น
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแปลงเพศ ที่ผู้รับการผ่าตัดมักกังวลคือเรื่องของความสวยงามการรับความรู้สึกและช่องคลอดที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายปัจจัย แพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำ และเลือกชนิดของการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ปัจจุบันเพศทางเลือกมีความหลากหลายและเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น ขณะเดียวกันการผ่าตัดแปลงเพศก็ได้รับความนิยมและทำกันแพร่หลายมากขึ้นเช่นกัน ในทางการแพทย์เองก็ได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดมาโดยตลอด เพื่อให้ได้ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจและลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดให้น้อยที่สุด
การผ่าตัดแปลงเพศ จากชายเป็นหญิง
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (Gender Affirmation Surgery – Male to Female) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศจากชายให้ดูเหมือนอวัยวะเพศหญิงทั้งในแง่รูปลักษณ์ภายนอก ความรู้สึก และการใช้งาน โดยใช้ส่วนต่าง ๆ ขององคชาตเดิมเพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกและใช้งานได้เปรียบเสมือนว่าเป็นเพศหญิง
การผ่าตัดโดยทั่วไปประกอบด้วย
- การตัดอัณฑะ (Orchidectomy)
- การสร้างช่องคลอด (Vaginoplasty)
- การตกแต่งอวัยวะภายนอก (Labiaplasty)
การผ่าตัดนี้มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น
- การสร้างจุดรับความรู้สึก (Sensate Clitoroplasty)
- การสร้างแคมนอกและแคมใน (Labia Major and Minora reconstruction) โดยใช้ผิวหนังจากถุงอัณฑะมาสร้างเป็นแคม
- การสร้างช่องคลอดด้วยลำไส้ (Intestinal Vaginoplasty)
- การสร้างช่องคลอดด้วยเยื่อบุช่องท้อง (Endoscopic Peritoneal Flap Vaginoplasty)
ทำให้การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงในปัจจุบัน มักจะได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนทุกมิติและน่าพึงพอใจ
ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัดแปลงเพศ
- สตรีข้ามเพศ (Transgender Woman: TGW) ที่ผ่านการประเมินตามข้อกำหนดของ The World Professional Association for Transgender Health (WPATH)
- มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักให้ได้ตามที่ต้องการก่อนทำการผ่าตัด
- ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น โรคที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Hemophilia)
- ภาวะเสี่ยงต่อลิ่มเลือดอุดตัน (DVT , PE)
- ผู้ที่มีความคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผล
- มีสุขภาพจิตเหมาะสมพร้อมรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด
- มีอายุมากกว่า 20 ปี (หากอายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตามกฎหมาย)
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการผ่าตัดแปลงเพศ
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่ไม่ใช่ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับทุกคน แพทย์จะให้คำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง ให้โอกาสในการซักถามข้อสงสัย จากนั้นจึงร่วมกันตัดสินใจในด้านการผ่าตัด
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแปลงเพศ ที่ผู้รับการผ่าตัดมักกังวลคือเรื่องของความสวยงามและการรับความรู้สึก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายปัจจัย แพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำ และเลือกชนิดของการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ในเรื่องของรอยแผลเป็น หากไม่มีประวัติแผลเป็นประเภทคีลอยด์มาก่อน มักจะได้รับผลลัพธ์ที่เรียบเนียน แผลผ่าตัดจะถูกซ่อนในตำแหน่งที่เหมาะสม
ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนในการหายของแผล (Wound complications) อาการชา (Numbness) หรือการขาดเลือดมาเลี้ยง (Skin Necrosis) ซึ่งมักพบในคนที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น แต่หากควบคุมอาการได้ดีก็ไม่ใช่ข้อห้ามในการผ่าตัด รวมทั้งความเสี่ยงที่จะมีการบาดเจ็บต่อสำไส้ส่วนทวารหนักและทางเดินปัสสาวะ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงที่โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์: ทางเลือกที่ครบวงจรเพื่อตัวตนที่สมบูรณ์
โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ ภูเก็ต นับเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลชั้นนำที่ให้บริการการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงมายาวนาน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ผู้ที่ต้องการแปลงเพศมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
กระบวนการแปลงเพศที่โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์
การผ่าตัดแปลงเพศเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอน ที่โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ มีบริการครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด การผ่าตัด ไปจนถึงการดูแลหลังผ่าตัด
การเตรียมความพร้อม: ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมาก แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงประเมินสภาพจิตใจ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจสำหรับการผ่าตัด นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปรับฮอร์โมน และการเตรียมตัวอื่น ๆ ที่จำเป็น ผู้ที่มารับการผ่าตัดจะต้องมีใบรับรองแพทย์ว่ามีความเหมาะสมที่จะรับการผ่าตัดโดยจิตแพทย์ นักจิจวิทยาหรือแพทย์ที่ดูแลด้านแพทย์สภาพโดยเฉพาะเป็นผู้ออกใบรับรองแพทย์
การผ่าตัด: โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ มีทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศ โดยมีเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัย ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก และฟื้นตัวได้เร็ว
การดูแลหลังผ่าตัด: หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์และพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังผ่าตัด
ทำไมต้องเลือกโรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ มีทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดแปลงเพศโดยเฉพาะ
- เทคโนโลยีที่ทันสมัย: โรงพยาบาลมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้การผ่าตัดมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง
- การดูแลในทุกขั้นตอน : ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด การผ่าตัด ไปจนถึงการดูแลหลังผ่าตัด
- ความเป็นส่วนตัว: โรงพยาบาลให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะถูกเก็บเป็นความลับ
Artemes: ศูนย์สุขภาพและความงามสำหรับ LGBTQAI+
โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ ยังมีศูนย์สุขภาพและความงาม Artemes ที่ให้บริการด้านสุขภาพและความงามสำหรับกลุ่ม LGBTQAI+ โดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงการตรวจสุขภาพ การให้คำปรึกษาเรื่องฮอร์โมน และการดูแลด้านความงามอื่น ๆ
หากคุณกำลังพิจารณาการผ่าตัดแปลงเพศ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการดูแลทุกขั้นตอน ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และก้าวสู่ตัวตนที่สมบูรณ์
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ
6 เดือน ก่อนการผ่าตัด
- งดยารักษาสิวชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามิน A (Isotretinoin) เพราะอาจมีผลต่อการหายของแผล
3 เดือน ก่อนการผ่าตัด
- เตรียมความพร้อมของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี หากมีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์เพื่อรักษาและควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะปกติ
4 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 4 สัปดาห์
- งดการเจาะ/สักร่างกาย หรืออาบแดด หากมีการเจาะ ใส่ห่วง อยู่แล้วให้ถอดออกเพื่อเช็คและรักษาหากมีการอักเสบ
10 วัน ก่อนการผ่าตัด
- งดยาที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด ได้แก่
- ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Ticlid, Plavix or Aggrenox. (โปรดปรึกษาแพทย์ประจำตัวถึงความปลอดภัยในการหยุดยา)
- ยาแก้ปวดประเภท Nsaids เช่น Ibuprofen, Advil, Motrin, Nuprin, Aleve, Relafen, Naprosyn, Diclofenac, Naproxen, Voltaren, Daypro, Feldene, Clinoril, Lodine, Indocin, Orudis เป็นต้น
- ยาระงับประสาท ยานอนหลับบางชนิด เช่น Zoloft, Lexapro, Prozac, Pristiq เป็นต้น
- งด วิตามิน อาหารเสริมทุกชนิด ที่อาจมีผลกับการแข็งตัวของเลือด เช่น Multivitamins, Fish oil, Omega3, Co-enzyme Q10, Evening Primrose Oil, Glucosamine, Arnica, Ginseng, Gingko, herbs ,Pimrose เป็นต้น