ความหมายของ Pride
ความภูมิใจ (Pride) ความรู้สึกพึงพอใจในตัวเองหรือผู้อื่น จากความสำเร็จ คุณสมบัติ หรือการกระทำที่ดี มีความหมายหลากหลายและทรงคุณค่าในหลายบริบท ทั้งในด้านของความภาคภูมิใจส่วนตัวและการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางสังคม “Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจ” เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและเพศวิถี ส่งเสริมความรู้สึกและการยอมรับตนเองของคนที่เป็นสมาชิกกลุ่ม LGBTQ+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer, and others) ทั่วโลก
จุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1969 หลังการเกิดเหตุความรุนแรงต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศที่คลับ “สโตนวอลล์อินน์” กลางกรุงนิวยอร์ก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมกันของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ความภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น Pride to be ME
การยอมรับและภูมิใจในอัตลักษณ์ทางเพศและเพศสภาพของตนเองอย่างเปิดเผย ความรู้สึกพึงพอใจและมั่นใจในตัวเองหรือในความสำเร็จที่ได้บรรลุเป้าหมายในชีวิต ความภาคภูมิใจนี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและเป็นแรงผลักดันให้มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง การเป็นตัวเองเป็นสิทธิของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือมีความรักกับใคร คุณมีสิทธิที่จะมีความสุขและภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น
ความสำคัญของการเป็นตัวเอง
- สุขภาพจิตที่ดีขึ้น การยอมรับตัวเองช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ที่อาจเกิดจากการพยายามปกปิดหรือปฏิเสธตัวตนที่แท้จริง
- ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เมื่อเป็นตัวเอง เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงและมีความหมายกับผู้อื่นได้ ทั้งในแง่ความรัก มิตรภาพ และครอบครัว
- การมีส่วนร่วมในสังคม การเปิดเผยตัวตนและแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ช่วยสร้างความตระหนักและความเข้าใจในสังคมเกี่ยวกับ LGBTQ+ และส่งเสริมความเท่าเทียมกัน
- การเป็นแรงบันดาลใจ การเป็นตัวเองและแสดงออกถึงความสุข สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับ LGBTQ+ คนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้กับการยอมรับตัวเอง
ความเท่าเทียม
การได้รับสิทธิ เสรีภาพ และโอกาสที่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในสังคม โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติหรือกีดกันเพียงเพราะอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพของตนเอง เราทุกคนมีบทบาทในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมสำหรับ LGBTQ+ โดยเริ่มจากการเปิดใจยอมรับความแตกต่าง เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเท่าเทียม
ความสำคัญของความเท่าเทียม
- ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด หรือมีความรักกับใคร
- สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การถูกเลือกปฏิบัติส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกาย ความเท่าเทียมช่วยให้เข้าถึงบริการสุขภาพและสวัสดิการที่จำเป็นได้อย่างเท่าเทียม
- เศรษฐกิจและสังคม การกีดกันจากโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้สูญเสียศักยภาพและความสามารถของคนกลุ่มนี้ไป ความเท่าเทียมช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่
- ความหลากหลายและความคิดสร้างสรรค์ สังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลาย จะเป็นสังคมที่มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมายสี
- สีแดง เปรียบเสมือน ชีวิต
- สีส้ม เปรียบเสมือน การรักษาเยียวยา
- สีเหลือง เปรียบเสมือน แสงอาทิตย์
- สีเขียว เปรียบเสมือน ธรรมชาติ
- สีน้ำเงิน เปรียบเสมือน ความกลมกลืน
- สีม่วง เปรียบเสมือน จิตวิญญาณมนุษย์
สิ่งที่ Pride ควรใส่ใจ
สุขภาพร่างกายและฮอร์โมนเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากความหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ อาจมีผลต่อความต้องการและการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกันไป อาจเลือกใช้ฮอร์โมนเพื่อให้ร่างกายสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง การใช้ฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำและการติดตามผลที่เหมาะสม หากรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
เริ่มต้นตัวตนที่เป็นคุณ ที่ ARTEMES
ARTEMES Health and Beauty Destination, Phuket รพ.กรุงเทพสิริโรจน์ BDMS จังหวัดภูเก็ตพร้อมให้การสนับสนุนทุกความหลากหลาย เพราะเราเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีศักยภาพและคุณค่าในตัวเองเสมอ ขอให้เชื่อมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง โดยมีคณะแพทย์เฉพาะทางที่ใหญ่ที่สุดในแถบจังหวัดอันดามัน ให้บริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทั้งสุขภาพและความงาม ประกอบด้วย สถาบันศัลยกรรมตกแต่งความงามภูเก็ต สถาบันผิวหนังและความงาม คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัย และศูนย์ทันตกรรม โดยมีจุดเด่นของการให้บริการด้วยคณะแพทย์เฉพาะทาง ทีมงานมืออาชีพ สามารถให้บริการครบจบในที่เดียว ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนสรีระ การทำทันตกรรมเพื่อเติมเต็มความมั่นใจ เพิ่มคุณภาพชีวิต ไปจนถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ลงลึกถึงระดับฮอร์โมนและเซลล์ให้ยังคงความเยาว์วัย โดยสอดคล้องกับแนวคิด Pride to be ME ความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
- ความเชี่ยวชาญ มีทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพของ LGBTQ+ โดยเฉพาะ เช่น การให้คำปรึกษาเรื่องฮอร์โมน การผ่าตัดแปลงเพศ การปรับปรุงรูปร่างและสัดส่วน
- ความเข้าใจและยอมรับ โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับ LGBTQ+ ให้ความสำคัญกับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความหลากหลายทางเพศ
- บริการที่ครอบคลุม มีบริการที่ครอบคลุมทุกด้านของสุขภาพสำหรับ LGBTQ+ ตั้งแต่การตรวจสุขภาพทั่วไป การรักษาโรคเฉพาะทาง ไปจนถึงการให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตใจ
- ความเป็นส่วนตัว โดยให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวสำหรับ LGBTQ+ และมีมาตรการในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด
บริการของ Artemes
การเสริมสะโพก
การเสริมสะโพก (Hip Augmentation) เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับรูปร่างและเพิ่มขนาดของสะโพกให้ดูโค้งมนและได้สัดส่วนมากขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศ (MTF) และผู้ที่ไม่ระบุเพศ (Non-binary)
วิธีการเสริมสะโพก
มีหลายวิธีในการเสริมสะโพก ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
- การใส่ซิลิโคนเสริมสะโพก เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด โดยศัลยแพทย์จะใส่ซิลิโคนเข้าไปในบริเวณสะโพกผ่านทางแผลผ่าตัดที่ซ่อนอยู่ วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวร แต่มีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ การเลื่อนของซิลิโคน และการเกิดพังผืด
- การฉีดไขมันตัวเอง (Fat Transfer) เป็นวิธีที่ใช้ไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา มาฉีดเข้าไปในบริเวณสะโพก วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการใส่ซิลิโคน แต่ผลลัพธ์อาจไม่ถาวร เนื่องจากไขมันบางส่วนอาจถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย
- การเสริมสะโพกด้วยสารเติมเต็ม (Dermal Fillers) เป็นวิธีที่ใช้สารเติมเต็ม เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) มาฉีดเข้าไปในบริเวณสะโพก วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยและให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร และอาจต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ
ข้อควรรู้ก่อนการเสริมสะโพก
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนตัดสินใจเสริมสะโพก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อประเมินความเหมาะสม วางแผนการผ่าตัด และทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- การพักฟื้น ระยะเวลาพักฟื้นและการดูแลหลังผ่าตัดจะแตกต่างกันไปตามวิธีการที่เลือก
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์
ควรเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการเสริมสะโพกสำหรับ LGBTQ+ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัย
เนื่องจากการเสริมสะโพกเป็นการผ่าตัดเฉพาะทาง จึงไม่มีข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะมากนัก อย่างไรก็ตาม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการของคุณมากที่สุด รวมไปถึงกลุ่มสนับสนุนอาจมีข้อมูลและประสบการณ์จากผู้ที่เคยทำการเสริมสะโพกมาแบ่งปัน
การกรอกระเดือก
การกรอกระเดือก (Tracheal shave หรือ Chondrolaryngoplasty) เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลูกกระเดือก (Adam’s apple) ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาของกระดูกอ่อนไทรอยด์ในลำคอ การผ่าตัดนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มบุคคลข้ามเพศ (Transgender) และผู้ที่ไม่ระบุเพศ (Non-binary) ที่ต้องการปรับลักษณะของลำคอให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น
ขั้นตอนการกรอกระเดือก
- การปรึกษาแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับกลุ่ม LGBTQ+ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เข้าใจความต้องการและความกังวลเฉพาะบุคคล และวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสมที่สุด
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เช่น การงดสูบบุหรี่ การงดดื่มแอลกอฮอล์ และการงดใช้ยาบางชนิด
- การผ่าตัด กมักทำภายใต้การดมยาสลบ โดยศัลยแพทย์จะทำการกรีดผิวหนังบริเวณลำคอ จากนั้นจะทำการตัดและปรับรูปร่างของกระดูกอ่อนไทรอยด์เพื่อลดขนาดของลูกกระเดือก
- การดูแลหลังผ่าตัด โดยหลังผ่าตัด ผู้รับบริการจะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 – 2 วัน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลแผลผ่าตัด การรับประทานยา และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ข้อควรรู้ก่อนกรอกระเดือก
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกชนิด การกรอกระเดือกมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก เสียงแหบ และการเปลี่ยนแปลงของเสียง
- ผลลัพธ์ การกรอกระเดือกมักจะถาวร แต่ในบางกรณีอาจต้องทำการผ่าตัดซ้ำเพื่อปรับแต่งผลลัพธ์
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์
ควรเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการกรอกระเดือกสำหรับ LGBTQ+ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัย
หากมีความสนใจที่จะกรอกระเดือก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การเสริมหน้าอก
การเสริมหน้าอกเป็นการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศ (Transgender women) และผู้ที่ไม่ระบุเพศ (Non-binary) เพื่อปรับสรีระให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองมากขึ้น
ขั้นตอนการเสริมหน้าอกสำหรับ LGBTQ+
โดยรวมแล้วขั้นตอนการเสริมหน้าอกสำหรับ LGBTQ+ นั้นไม่แตกต่างจากการเสริมหน้าอกทั่วไป แต่มีบางประเด็นที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ:
- การปรึกษาแพทย์ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับกลุ่ม LGBTQ+ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เข้าใจความต้องการและความกังวลเฉพาะบุคคล และวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสมที่สุด
- การเลือกขนาดและชนิดของซิลิโคน แพทย์จะช่วยประเมินรูปร่างและขนาดหน้าอกที่เหมาะสมกับสรีระของแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงความต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการ
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ควรแจ้งประวัติการใช้ฮอร์โมนเพศหญิงให้แพทย์ทราบ เนื่องจากอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดและการรักษาแผลหลังผ่าตัด
- การดูแลหลังผ่าตัด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการดูแลแผลผ่าตัด การรับประทานยา และการพักฟื้น จะช่วยให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ข้อควรทราบก่อนเสริมหน้าอกสำหรับ LGBTQ+
- ค่าใช้จ่าย การเสริมหน้าอกอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดและชนิดของซิลิโคน เทคนิคการผ่าตัด และสถานพยาบาลที่เลือก
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกชนิด การเสริมหน้าอกมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และการเกิดพังผืด
- ผลลัพธ์ การเสริมหน้าอกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์
ควรเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการเสริมหน้าอกสำหรับ LGBTQ+ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การผ่าตัดแปลงเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศ หรือ การผ่าตัดยืนยันเพศ (Gender Affirmation Surgery – GAS) เป็นการผ่าตัดที่ช่วยให้บุคคลที่มีความไม่สอดคล้องทางเพศ (Gender Dysphoria) สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองได้มากขึ้น การผ่าตัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางเพศ (Gender Transition) ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ฮอร์โมน การบำบัดทางจิต และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอื่น ๆ
ประเภทของการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับ LGBTQ+
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (Male-to-Female)
ศัลยกรรมยืนยันเพศ (Gender Affirmation Surgery – GAS) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยให้บุคคลที่ระบุตัวตนเป็นผู้หญิง แต่เกิดมามีเพศกำเนิดเป็นชาย สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองได้มากขึ้น
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงมีหลายขั้นตอน ซึ่งอาจรวมถึง
1. การผ่าตัดอวัยวะเพศ
- การสร้างช่องคลอด (Vaginoplasty) เป็นการผ่าตัดสร้างช่องคลอดใหม่ โดยส่วนใหญ่มักใช้ผิวหนังจากองคชาตหรือถุงอัณฑะมาบุภายในช่องคลอด
- การสร้างอวัยวะเพศภายนอก (Labiaplasty / Vulvoplasty) เป็นการผ่าตัดสร้างแคมเล็ก แคมใหญ่ และคลิตอริส เพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิง
2. การผ่าตัดบริเวณอื่นๆ
- การผ่าตัดเสริมหน้าอก (Breast Augmentation) เพิ่มขนาดและรูปทรงของหน้าอกให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น
- การผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า (Facial Feminization Surgery) ปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น หน้าผาก จมูก คาง และกราม ให้ดูอ่อนหวานและเป็นผู้หญิงมากขึ้น
- การกรอกระเดือก (Tracheal Shave) ลดขนาดของลูกกระเดือกให้ลำคอดูเรียวเล็กลง
- การผ่าตัดอื่นๆ เช่น การยกกระชับก้น การดูดไขมัน และการกำจัดขน
3. การใช้ฮอร์โมนเพศหญิง จะช่วยให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีทรวงอก มีผิวพรรณที่ละเอียดขึ้น และมีการกระจายไขมันแบบผู้หญิง
การผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย (Female-to-Male)
ศัลยกรรมยืนยันเพศ (Gender Affirmation Surgery – GAS) เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยให้บุคคลที่ระบุตัวตนเป็นชาย แต่เกิดมามีเพศกำเนิดเป็นหญิง
1. การผ่าตัดอวัยวะเพศ แปลงอวัยวะเพศ สร้างองคชาตใหม่ โดยส่วนใหญสร้างถุงอัณฑะ และอาจใส่ลูกอัณฑะเทียมตัดมดลูกและรังไข่ (Hysterectomy and Oophorectomy) เพื่อเอามดลูกและรังไข่ออก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
2. การผ่าตัดบริเวณอื่นๆ
- การผ่าตัดหน้าอกการลดขนาดหน้าอกหรือตัดเต้านมออก: ลดขนาดหน้าอกและสร้างหน้าอกที่แบนราบ
- การผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า(Facial Masculinization Surgery) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าให้ดูเป็นผู้ชายมากขึ้น เช่น การเสริมโหนกแก้ม การเหลาคาง และการเสริมกราม
- การสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominal Etching)
- การปลูกผม (Hair Transplant)
3. การใช้ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone Therapy) จะช่วยให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น เสียงทุ้ม
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ
- การปรึกษาแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดแปลงเพศเพื่อประเมินความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ และวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสม
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เช่น การงดสูบบุหรี่ การงดดื่มแอลกอฮอล์ และการปรับยาบางชนิด
- การผ่าตัด การผ่าตัดจะดำเนินการในโรงพยาบาลภายใต้การดมยาสลบ ระยะเวลาและขั้นตอนการผ่าตัดจะการผ่าตัด
- การพักฟื้น หลังผ่าตัด คนไข้จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกชนิด การผ่าตัดแปลงเพศมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และการเกิดพังผืด
ผลลัพธ์ การผ่าตัดแปลงเพศอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์
ควรเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับ LGBTQ+ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัย
หากสนใจผ่าตัดแปลงเพศ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก (Subcutaneous Mastectomy) เป็นการผ่าตัดที่นิยมในกลุ่มผู้ชายข้ามเพศ เพื่อลดขนาดหน้าอกให้แบนราบและมีลักษณะเหมือนหน้าอกของผู้ชาย โดยมีขั้นตอนดังนี้
- การปรึกษาแพทย์ แพทย์จะประเมินความเหมาะสมในการผ่าตัด พิจารณาเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของหน้าอก รวมถึงวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- การผ่าตัด ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดโดยตัดเอาเนื้อเยื่อและไขมันส่วนเกินออกจากหน้าอก และอาจมีการปรับตำแหน่งของหัวนมและปานนมด้วย
- การพักฟื้น หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 1 – 2 คืน และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดหน้าอกสำหรับ LGBTQ+
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนตัดสินใจผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดแปลงเพศ เพื่อรับคำแนะนำและข้อมูลที่ถูกต้อง
- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกชนิด การผ่าตัดหน้าอกมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และการเกิดพังผืด
- การพักฟื้น ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการดูแลแผลผ่าตัด การรับประทานยา และการพักผื้น เพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
การเสริมจมูกแบบเปิด
การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) เป็นเทคนิคการผ่าตัดเสริมจมูกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่ม LGBTQ การเสริมจมูกสามารถช่วยให้ใบหน้าดูสวยงามและมีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ คนในกลุ่ม LGBTQ+ ที่ต้องการให้รูปลักษณ์ภายนอกสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเองและส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิต ในบางกรณี การเสริมจมูกอาจทำเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ เช่น การหายใจลำบากเนื่องจากความผิดปกติของโครงสร้างจมูก
ขั้นตอนการเสริมจมูกแบบเปิด
- การปรึกษาแพทย์ แพทย์จะประเมินโครงสร้างจมูก สภาพผิว และความต้องการของคนไข้ เพื่อวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสมที่สุด
- การผ่าตัด ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดโดยเปิดแผลเล็ก ๆ ที่ฐานจมูก ทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในจมูกได้ชัดเจน และสามารถปรับแต่งกระดูกและกระดูกอ่อนได้อย่างละเอียด
- การพักฟื้น หลังผ่าตัด คนไข้จะต้องพักฟื้นประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ข้อดีของการเสริมจมูกแบบเปิด
- ปรับแต่งรูปทรงจมูกได้อย่างละเอียด สามารถปรับแต่งรูปทรงจมูกได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ความสูง ความยาว ความกว้าง ปลายจมูก และฐานจมูก
- แก้ไขปัญหาโครงสร้างจมูกได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างจมูก เช่น จมูกคด จมูกเบี้ยว หรือปลายจมูกใหญ่
- ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากศัลยแพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในจมูกได้ชัดเจน จึงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น จมูกเบี้ยว จมูกเอียง หรือปลายจมูกบาง
ข้อเสียของการเสริมจมูกแบบเปิด
- แผลเป็นที่ฐานจมูก แม้ว่าแผลเป็นจะมีขนาดเล็กและจะจางลงตามเวลา แต่ก็ยังเป็นข้อกังวลสำหรับบางคน
- ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า การผ่าตัดแบบเปิดอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการผ่าตัดแบบปิดเล็กน้อย
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์
ควรเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการเสริมจมูกแบบเปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่เข้าใจความต้องการและความกังวลของกลุ่ม LGBTQ+
ก่อนตัดสินใจเสริมจมูก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งเพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรทำความเข้าใจให้ดีก่อนตัดสินใจผ่าตัด หลังผ่าตัด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
การทำวีเนียร์ฟัน
การทำวีเนียร์ฟัน เป็นการเคลือบผิวฟันด้วยวัสดุบาง ๆ เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟัน ให้มีสีและเรียงตัวที่สวยงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้ว วีเนียร์ฟันมีทั้งที่ทำจากเซรามิกหรือคอมโพสิตเรซิน ในที่นี้จะกล่าวถึงวีเนียร์ที่ทำจากเซรามิก ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความทนทานและสวยงาม
ขั้นตอนการทำ
- ปรึกษาทันตแพทย์ โดยทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปากและฟันของคุณ เพื่อประเมินว่าคุณเหมาะสมกับการทำวีเนียร์หรือไม่ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
- กรอแต่งผิวฟันทันตแพทย์จะกรอผิวฟันบางส่วนออก เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับติดวีเนียร์
- พิมพ์ปากทันตแพทย์จะพิมพ์ปากของคุณ เพื่อสร้างแบบจำลองฟันสำหรับใช้ในการทำวีเนียร์ แบบจำลองนี้จะถูกส่งไปที่ห้องแลปทางทันตกรรมเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสร้างชิ้นงานจริง
- ติดตั้งวีเนียร์ชั่วคราวช่วงที่รอชิ้นงานจากแลปทันตกรรม ทันตแพทย์อาจติดตั้งวีเนียร์ชั่วคราวให้คุณ เพื่อให้ใช้งานระหว่างรอชิ้นงานจริง และทำให้เห็นภาพลักษณ์ของฟันหลังทำวีเนียร์
- ติดตั้งวีเนียร์ถาวรเมื่อวีเนียร์ถาวรเสร็จ ทันตแพทย์จะติดตั้งวีเนียร์ลงบนฟันของคุณด้วยกาวชนิดพิเศษ
ข้อดีของการทำ
- ปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันให้สวยงามขึ้น
- แก้ไขปัญหาฟันบิ่น ฟันแตก ฟันสึก ฟันห่าง ฟันเก ฟันเปลี่ยนสี
- เพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้ม
ข้อเสียของการทำ
- มีค่าใช้จ่ายสูง
- ต้องกรอผิวฟันบางส่วนออก
- ต้องใช้การรักษามากกว่า 1 ครั้ง และมีช่วงระยะเวลาที่รอชิ้นงานจริง
- อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหา เช่น วีเนียร์หลุด หรือฟันผุใต้ผิววีเนียร์
การดูแลรักษาวีเนียร์ฟัน
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ ครั้ง
- ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการกัดหรือเคี้ยวของแข็ง
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ
การทำวีเนียร์ฟันเป็นทางเลือกหนึ่งในการปรับปรุงรอยยิ้มของคุณ หากคุณกำลังพิจารณาทำวีเนียร์ฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
ทีมแพทย์ PRIDE
ผลลัพธ์ทางการรักษา (Clinical Outcome)
ARTEMES รพ.เพื่อสุขภาพและความงามแห่งแรกของภาคใต้
เปิดให้บริการตั้งแต่ 09:00-17:00น.
ตั้งอยู่ที่อาคาร 5 ชั้น 4 รพ.กรุงเทพสิริโรจน์
แผนที่ https://bit.ly/3Jmx9jh
ทำนัด สอบถามโปรโมชัน
Facebook chat: http://m.me/Artemesphuket
Line: https://lin.ee/MKZniKE
IG: https://www.instagram.com/artemesphuket
Tel.: 076 361 888