การดูดไขมัน

หัตถการผ่าตัด

ในระหว่างการดูดไขมัน จะมีท่อขนาดเล็ก (เครื่องมือผ่าตัดรูปท่อกลวง) จะถูกสอดเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมัน ใต้ผิวหนัง จากนั้นจึงทำการดูดไขมัน จนกว่าจะสามารถกำจัดไขมันออกได้ตามต้องการ และกุญแจสู่ความสำเร็จของหัตถการนี้คือการกำจัดไขมันใต้ผิวหนังในขณะที่ผิวหนังชั้นนอกยังคงเรียบเนียน

วิธีที่ใช้กันมากที่สุดคือ หัตถการดูดไขมันแบบ Tumescent ซึ่งจะมีการปล่อยให้น้ำเกลือแทรกซึมผ่านเข้าไปในชั้นไขมันก่อนทำการดูดไขมัน โดยสารละลายนี้มักประกอบด้วยยาชาเฉพาะที่ และยาห้ามเลือด เพื่อให้ไขมันคลายตัว หลอดเลือดหดตัว และทำให้เกิดการชาในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถขจัดไขมันได้ง่ายขึ้น และมีอาการเจ็บและรอยช้ำน้อยลง

  • Liposculpture เป็นเทคนิคการปรับเปลี่ยนเอว สะโพก และต้นขา ให้ได้สัดส่วนที่ดี
  • Liposhaping คือการกำจัดไขมันทั่วร่างกาย เพื่อลดขนาดร่างกายโดยรวม
  • Lipostructure เป็นเทคนิคที่ใช้ไขมันปริมาณเล็กน้อยที่สกัดออกมาจากร่างกาย เพื่อปรับเปลี่ยนรูปหน้า
  • Lipobuilding เป็นเทคนิคที่ใช้ไขมันที่สกัดออกมาจากร่างกายในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกหรือปรับเปลี่ยนรูปร่าง
  • การดูดไขมันชั้นใต้ผิวหนัง คือ การทำให้ผิวหนังหดตัว โดยการกำจัดไขมันใต้ผิวหนังออกโดยตรง
  • การดูดไขมันแบบสามมิติ ประกอบด้วยการสกัดไขมันทั้ง 3 ระดับ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างและยกกระชับ และทำให้ผิวหนังหดตัว
  • การดูดไขมันสามารถทำได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย โดยบริเวณที่นิยมดูดไขมันคือ หน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นขา หัวเข่า ต้นแขน คางและแก้ม หน้าอกในผู้ชาย เต้านมในผู้หญิง น่อง และข้อเท้า ไขมันที่ถูกกำจัดออกไปสามารถนำไปเติมเต็มหรือปรับเปลี่ยนรูปหน้าหรือร่างกายในบริเวณอื่น ๆ ได้หากจำเป็น
พักรักษาตัวในโรงพยาบาล

1 คืน

ระยะเวลาการผ่าตัด

-

ยาชา / ยาสลบ

ยาชาเฉพาะที่หรือการให้ยาระงับความรู้สึกทั่วตัว

การดูแลก่อนการผ่าตัด

ศัลยแพทย์ของจะประเมินสุขภาพโดยทั่วไป และให้คำปรึกษาว่าบริเวณใดของร่างกายที่มีไขมันสะสม ที่สามารถรักษาได้ด้วยการดูดไขมัน ตัวอย่าง เช่น ศัลยแพทย์อาจตัดสินใจว่า การผ่าตัด กระชับหน้าท้อง หรือ “การดึงหน้าท้อง” อาจเหมาะกับความต้องการมากกว่า และศัลยแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัด

คุณจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร และให้หลีกเลี่ยงวิตามิน ธาตุเหล็ก หรือยาบางชนิด
เพื่อลดโอกาสในการมีเลือดออกหลังการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือบรูเฟน เป็นเวลาสองสัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
หากเป็นหวัดหรือติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อที่ผิวหนัง การผ่าตัดของ อาจต้องเลื่อนออกไป ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องแจ้งศัลยแพทย์ ก่อนการผ่าตัด
การดูดไขมัน

การดูแลหลังการผ่าตัด

หลังจากการผ่าตัดบริเวณนั้นจะถูกรัดด้วยผ้ารัดกล้ามเนื้อ ที่ออกแบบมาเพื่อจัดรูปร่างให้เข้ารูปและ รัดไขมันส่วนที่เหลือเพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างตามที่ต้องการ โดยจะต้องสวมใส่ผ้ารัดกล้ามเนื้อนี้ไว้ทั้งตอนกลางวัน และกลางคืนเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน แต่สามารถถอดออกเป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างการอาบน้ำ

หลังทำหัตถการนี้ อาจรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากอาจมีอาการบวม รอยช้ำ และอาการตึง ความรู้สึกไม่สบาย เนื่องจากการผ่าตัดจะเกิดขึ้นชั่วคราว และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน

อาการที่พบได้บ่อยคือรอยฟกช้ำ ซึ่งจะพบได้ในสองสามวันแรกหลังการผ่าตัด และจะค่อย ๆ หายไปใน หนึ่งหรือสองสัปดาห์ ส่วนอาการที่พบได้ยากคือ ผิวคลื่นหรือผิวส้ม หัตถการนี้จะทำให้เกิด แผลเป็นน้อยที่สุด เนื่องจากมีรอยผ่าขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ในบริเวณที่จำเป็นเท่านั้น โดยรอยผ่านี้จะค่อย ๆ หายไป และไม่สามารถสังเกตเห็นได้ในที่สุด

ผู้ที่มีปัญหาทางการแพทย์ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด หรือการไหลเวียนของเลือดไม่ดีและสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดใกล้บริเวณที่ต้องการดูดไขมัน จะมีความเสี่ยงสูงกว่า

ผลลัพธ​์

ไม่นานหลังการผ่าตัด จะสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างในรูปร่างได้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น เมื่ออาการบวมลดลง หลังจากผ่านไปประมาณสามเดือน อาการบวมมักจะหายไป และจะมองเห็นรูปร่างอย่างชัดเจนภายในอีก 6 เดือน หลังจากทำตามขั้นตอนแล้วนั้น อาจมีคาดหวังว่าขนาดตัวจะเล็กลง 1 ไซส์ อย่างไรก็ตามหัตถการนี้ ไม่ได้มีไว้นี่เพื่อการลดน้ำหนัก แต่เป็น เทคนิคที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างรูปร่างที่ดีขึ้น

ผู้ที่เหมาะสมกับการดูดไขมัน คือ ผู้ที่มีน้ำหนักปกติ ผิวยังคงเต่งตึง และมียืดหยุ่น และมีไขมันส่วนเกิน ในบางบริเวณของร่างกาย แม้ว่าอายุไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดูดไขมัน แต่ผู้ป่วยที่มีอายุมาก มักมีความยืดหยุ่นน้อย ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ดีเท่ากับผู้ป่วยอายุน้อยซึ่งมีผิวเต่งตึงมากกว่า

หัตถการที่คล้ายกัน